"ฟ้าหลังฝน ราตรีวิวาห์"

ผืนดินสองฟากฝั่งในเขตทางเดินของวัดทางด้านทิศตะวันออก ทิศเหนือ และทิศใต้ สามารถมองเห็นท้องทุ่งนาอันกว้างใหญ่ไพศาลหลายร้อยไร่ของชาวบ้าน ถึงแม้ว่าจะไม่มีรวงข้าวสีทองเหมือนกับช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวในฤดูหนาว แต่เกษตรกรก็ไม่ปล่อยให้พื้นที่ว่างเว้นโดยเปล่าประโยชน์ มักจะปลูกพืชไร่พืชสวน พืชอายุสั้นทดแทน เพื่อสร้างรายได้ อย่างพวก ถั่วลิสง ข้าวโพด แตงกวา ถั่วฝักยาว เป็นการพักฟื้นผืนดินอีกทั้งเป็นปุ๋ยชั้นดีเมื่อไถกลบให้กับที่นาเพื่อเตรียมทำงานใหญ่ในช่วงฤดูฝน

ในท้องนามีพืชผลทางการเกษตรแล้ว ริมท้องทุ่งก็ไม่ยอมน้อยหน้า มีไม้ยืนต้นที่ทนแดดให้ร่มเงาอย่าง "อินทนิล" ลำต้นสูงใหญ่ประมาณ 10 เมตร โดยรอบต้นมีเปลือกสีน้ำตาลอ่อน ผิวค่อนข้างเรียบ ใบค่อนข้างหนาปลายแหลม เป็นมันทั้งสองด้าน ไม่มีขน มีดอกออกเป็นช่อสวยงามตรงปลายกิ่ง บางช่อมีสีม่วงสด บางช่อมีสีชมพู บางช่อมีสีม่วงอมชมพูสลับกันไป ดูแล้วเพลินตายิ่งนัก ซึ่งจะปรากฏให้เห็นได้ในช่วงเดือนมีนาคมจนถึงเดือนมิถุนายนเพียงเท่านั้น

"อินทนิล"หรือเรียกกันในภาษาเหนือว่า "ดอกหอมนวล" จัดได้ว่าเป็นฝาแฝดกับ "ต้นตะแบก" ที่มีลักษณะคล้ายกันหลายอย่าง มีลำต้นสูงประมาณ 5 - 15 เมตร รอบต้นมีรอยเป็นวงสีขาว คล้ายเปลือกต้นฝรั่ง ตรงปลายใบมีติ่งแหลมเล็ก ใบอ่อนมีสีแดง มีขนปกคลุม ใบแก่เกลี้ยง ดอกออกเป็นช่อเหมือนกัน มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ เมื่อดอกบานจะเป็นสีม่วงอมชมพู โดยข้อแตกต่างจะปรากฏขึ้นเมื่อดอกบานอย่างเต็มที่จะเปลี่ยนเป็นสีขาวและจะผลิบานในช่วงเดือนกรกฎาคมจนถึงกันยายน หรือช่วงที่ดอกหอมนวลร่วงโรยลงไปแล้วนั่นเอง ซึ่งหากนำดอกทั้งสองอย่างนี้มาเปรียบเทียบกัน หากไม่สังเกตให้ดีจะรู้สึกว่ามีความคล้ายคลึงกันชนิดที่ว่ามันคือดอกเดียวกันไม่มีผิด

นอกจากความงามของบุปผาสีม่วงที่เปล่งประกายชูช่อกันสลอนในช่วงเดือน 8 เหนือ หรือประมาณเดือนพฤษภาคม ยังมีความสวยงามของประเพณีอีกอย่างหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างยิ่งในช่วงนี้คือ "การแต่งงาน" ที่ช่วงหลังมาการนับวันนับยามแบบโบราณเริ่มจะสูญหาย ใครจะแต่งกันตอนไหนก็ได้เอาฤกษ์ยามตามสะดวก ซึ่งงานมงคลทุกอย่างทางภาคเหนือคนรุ่นเก่าจะถือเอาฤกษ์งามยามดีกันในเดือนคู่ เช่น งานทำบุญตานข้าวใหม่ ซึ่งกำหนดไว้ในเดือน 4 หรือในช่วงเดือนมกราคมของทุกปี งานปอยหลวงที่มีการฉลองศาสนสถานต่าง ๆ ของวัดก็จะทำกันในเดือน 6 หรือช่วงเดือนมีนาคมจะเหมาะสมที่สุด ในเดือน 8 ก็จะนิยมแต่งงาน ในเดือน 10 หรือประมาณเดือนกรกฎาคมก็จะเป็นช่วงทำบุญเข้าพรรษา ส่วนเดือน 12 ประมาณเดือนกันยายนใกล้ ๆ เดือนตุลาคมก็จะเป็นการทำบุญออกพรรษา และในเดือนยี่หรือเดือน 2 จะเป็นประเพณีลอยกระทง.

กิจกรรมทางวัฒนธรรมทั้งหมดนี้ล้วนแต่กระทำกันในเดือนคู่ทั้งนั้น นอกจากสาเหตุดังกล่าวแล้วยังมีสาเหตุอีกหนึ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้นคือ ช่วงนี้จะเป็นช่วงฤดูใกล้ทำนาซึ่งเป็นงานใหญ่ที่สุดของครอบครัว บ้านใดมีลูกสาว ที่มีคู่หมั้นหมายไว้แล้วก็ย่อมต้องการได้ลูกเขยมาช่วยทำการเกษตร ดังนั้นในช่วงเวลานี้จึงนิยมทำการสู่ขอกันแต่งงานกัน โดยหนึ่งในนั้นก็มีคู่ของ"แสงเดือน" กับ "อ้ายจู" ด้วย

หลังจากที่ญาติพี่น้องทำการฌาปนกิจส่งอุ้ยมีขึ้นสวรรค์แล้ว ทั้งแสงเดือน เพ็ญ และสามเณรมนตรี ที่ยังไม่หายจากความโศกเศร้า ยังมีความคิดถึงผู้มีพระคุณอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าเวลาล่วงเลยผ่านไปนานแล้ว แต่ความรู้สึกและความผูกพันนั้นยังไม่จางหาย การจากไปของอุ้ยมีทำให้ทุกคนระลึกได้ว่าทุกชีวิตล้วนมีการเกิดและมีการดับเป็นธรรมดาอย่างไม่มีข้อแม้ อยู่ที่ว่าใครจะไปตอนไหนเวลาใดเท่านั้นเอง

สามเณรมนตรี ยังคงปฏิบัติหน้าที่ของบรรพชิตที่ดีคือตั้งใจศึกษาเล่าเรียนหนังสือ ทั้ง "ทางธรรม" สวดมนต์ได้ในหลาย ๆ บทจนแตกฉานสามารถรับกิจนิมนต์ทั้งงานมงคลและงานอวมงคลร่วมกับตุ๊ลุงเจ้าอาวาสและตุ๊ปี้ได้อย่างไม่กังวล อีกทั้งยังเป็นพระนักเทศนาธรรมที่อ่านคล่องชัดถ้อยชัดคำ เสียงดีก้องกังวาลจนเป็นที่ชื่นชอบของอุบาสก อุบาสิกาและชาวบ้านทั่วไป นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการอ่านหนังสือพระธรรม พระวินัย จนสามารถสอบนักธรรมได้ถึงชั้นเอกในระยะเวลาเพียงแค่ 3 ปีเท่านั้น

ส่วน "ทางโลก" ปัจจุบันร่ำเรียนอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ใกล้จบแล้ว การเรียนอยู่ในระดับค่อนข้างดี เกรดเฉลี่ยในทุกภาคเรียนปีการศึกษาไม่เคยตกจาก 3.00 เลยสักครั้ง โดยโรงเรียนพระปริยัติธรรมที่นี่มีเปิดสอนถึงแค่ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งเดิมทีมีโอกาสขยายจนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเหมือนกัน แต่ด้วยความไม่พร้อมหลายอย่างในเรื่องของงบประมาณ จึงทำให้ไม่สามารถเปิดสอนต่อได้

สามเณรมนตรีจึงต้องไปศึกษาต่อที่โรงเรียนพระปริยัติธรรมในจังหวัดลำปางเหมือนพระรุ่นก่อน ๆ ซึ่งเป็นพื้นเพเดิมเมื่อหลายสิบปีก่อนครั้งเมื่อปู่ย่าตายายอพยพกันมาสร้างถิ่นฐานที่ตั้งอยู่ในปัจจุบัน ด้วยการฝากฝังของตุ๊ลุงเจ้าอาวาส

"เพ็ญ" ยังคงทำงานเป็นลูกจ้างในร้านขายของชำขนาดเล็กที่ตอนนี้กิจการเจริญเติบโตขยายใหญ่เป็นมินิมาร์ทหลายสาขาในเมืองกรุง หากนับเวลาที่เธอออกจากบ้านมาตั้งแต่สามเณรมนตรีอายุสองขวบครึ่งจนถึงตอนนี้ก็ย่าง 12 ปีเข้าแล้วจากลูกจ้างธรรมดาในวันนั้น บัดนี้เธอได้เปลี่ยนสถานะเป็นคนสนิทที่รู้ใจของเจ๊ ซึ่งก็ได้รับค่าตอบแทนที่สูงพอสมควรสำหรับคนที่มีการศึกษาเพียงระดับชั้นประถมหก ซึ่งก็พอสมเหตุสมผลกับความซื่อสัตย์และประสบการณ์ นึกถึงภาพในตอนนั้นที่เธอมาเผชิญโชคร่วมกับเอื้อง,สา,ขจร,สมรักษ์และหน้อยสม จนเวลานี้เหลือเพียงเธอกับสมรักษ์เท่านั้นที่ยังคงทำงานขายแรงงานในเมืองกรุงอยู่ ส่วนคนอื่น ๆ เมื่อเก็บเงินเก็บทองได้ก็นำไปก่อร่างสร้างตัว ทำการเกษตร ลงทุนค้าขาย กลับไปใช้ชีวิตที่บ้านนอก

"แสงเดือน" พี่สาวของเพ็ญที่ตอนนี้ได้ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวที่บ้านปูน ถึงแม้ว่าแม่ของเธอจะจากไปแล้ว เธอยังคงขายข้าวซอยต่อไป ควบคู่กับของหวานลอดช่องและส้มตำ ช่วงไหนเศรษฐกิจดีคนออกมากินเยอะ กำไรก็มาก ช่วงไหนที่แย่ก็ขายได้น้อย บางวันขายได้เพียงทุนคืน ขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่แน่นอน ลูกจ้างก็เปลี่ยนเรื่อยไป แรก ๆ ก็จ้างศรีนวลหญิงสาววัยรุ่นแถวบ้าน ซึ่งภายหลังได้ลาออกไปทำงานเป็นลูกจ้างที่ร้านขายวัสดุก่อสร้างในตัวอำเภอ จากตอนนั้นถึงตอนนี้ก็ 4 - 5 คนเข้าไปแล้วที่ทำงานร่วมกับเธอ แต่เธอก็สามารถยืนหยัดขายได้หลายปีโดยที่ไม่คิดจะเลิกล้มกิจการ

จวบจนเมื่อไม่นานมานี้หลังจากอุ้ยมีเสียชีวิต ชาวบ้านมักจะเห็น "อ้ายจู" มาช่วยงานแสงเดือนบ่อยกว่าปกติ ทั้งเสิร์ฟ ล้างถ้วย ล้างชาม ตักลอดช่องปอกมะละกอให้อยู่เสมอ ตลอดจนช่วยเหลืองานแสงเดือนทุกครั้งที่มีโอกาส รวมทั้งช่วยงานศพของแม่อุ้ยมีด้วย

ซึ่งจริง ๆ แล้วอ้ายหนุ่มบ้านเหนือคนนี้แอบชอบแสงเดือนตั้งแต่สมัยที่สามเณรมนตรียังเด็ก ๆ แล้ว ซึ่งแสงเดือนก็พอจะรู้อยู่ ซึ่งเธอก็พอใจเหมือนกันที่อ้ายจูแอบชอบ ซึ่งสมัยที่แม่อุ้ยมียังมีชีวิตอยู่อ้ายจูยังเคยพูดเล่นกับแม่อุ้ยมีว่า "ข้าวหนมเส้นข้าวซอยลำจะอี้ ท่าจะได้กิ๋นแตนข้าวตึงวันเหียก้า" (ขนมจีนข้าวซอยอร่อยขนาดนี้คงจะได้กินแทนข้าวทุกวันนะ) ซึ่งแม่ของแสงเดือนก็ทันเหลี่ยมอ้ายหนุ่มขี้เล่นคนนี้ว่าหมายถึงอะไรเพียงแต่ไม่ตอบกลับ จึงได้แต่นั่งยิ้ม ๆ และจุดบุหรี่ขี้โยออกมาสูบอย่างสบายใจ

อ้ายจูเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาคมเข้ม จัดได้ว่าเป็นคนหล่อคนหนึ่งเลยทีเดียว อุปนิสัยแม้จะเป็นคนขี้เล่น คุยสนุก แต่เมื่อถึงเวลางานก็เป็นคนที่เอาจริงเอาจัง ขยันขันแข็ง สวนทางกับบุคลิกขี้เล่นอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้เขายังไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน ดื่มเหล้าบ้างนิดหน่อย ซึ่งแกเป็นหนุ่มโสดหรือทางเหนือเรียกว่า "บ่าวเคิ้น" คืออายุเลย 40 ปีแล้วแต่ยังไม่เอาลูกเอาเมีย โดยสาเหตุที่แกปล่อยให้ความโสดครอบงำตัวเองขนาดนี้ เป็นเพราะว่าแกต้องดูแลพ่อของแกที่ตาบอด ซึ่งพี่น้องของแกก็ไปมีครอบครัวอยู่บ้านอื่นกันหมด ปล่อยให้เป็นภาระหน้าที่ดูแลบิดาเป็นของแกคนเดียว แกจึงไม่มีเวลาไปจีบสาวหาเมียเหมือนกับคนอื่น ๆ เขา

เมื่อไม่นานมานี้ผู้เป็นบิดาของเขาได้เสียชีวิตลงด้วยโรคชรา ตามหลังแม่อุ้ยมีที่จากไปก่อนหน้านั้นได้เพียง 4 เดือน ซึ่งทุกคนในหมู่บ้านต่างก็ไปช่วยงาน รวมทั้งแสงเดือนด้วย

เช้าวันนี้อ้ายจูขับมอเตอร์ไซค์ยี่ห้อฮอนด้าเวฟ สีดำ ดับเครื่องแล้วจอดที่หน้าบ้านแสงเดือน วันนี้เขาแต่งตัวดีกว่าปกติราวกับว่าจะไปทำธุระที่ไหนสักที่หนึ่ง ด้วยเสื้อเชิ้ตคอปกสีน้ำเงิน กางเกงยีนต์ขากระบอกสมส่วน


"แม่ก้าข้าวซอยอยู่ก่อ" (แม่ค้าข้าวซอยอยู่ไหม)
เสียงของอ้ายจูร้องเรียกแสงเดือนอย่างคุ้นหู ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าแสงเดือนอยู่ในบ้าน



"เจ้า... อ้ายมาหาไขเจ้า" (จ้า..พี่มาหาใครหรือ)
แสงเดือนโต้กลับคืนบ้าง ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเสียงนั้นคือเสียงอ้ายจู

สักพักหนึ่งแสงเดือนก็เดินออกจากบ้านมาต้อนรับอ้ายจูที่ร้านข้าวซอย

"วันนี้แต่งตัวหล่อขนาด จะไปไหนเจ้า" (วันนี้แต่งตัวหล่อมาก จะไปไหนค่ะ) แสงเดือนทักทายด้วยการชมการแต่งตัวแบบมีรสนิยมของอ้ายจู

"อ้ายกิ๋นข้าวแล้วกา" (พี่กินข้าวแล้วหรือ) แสงเดือนชวนคุยต่อ

"อ้ายบ่ได้กิ๋นเตื่อ จะมากิ๋นข้าวซอยตี่ร้านแม่ก้าหน้าหวานนี่กะ" (พี่ยังไม่ได้กินข้าว จะมากินข้าวซอยที่ร้านแม่ค้าหน้าหวานคนนี้นะสิ)

"............." แสงเดือนไม่ตอบ ได้แต่หน้าแดงเขินอายกับคำพูดของผู้บ่าวคารมดี

"เฮาแต่งงานกันบ่ อ้ายจะบอกหื้อคนใหญ่เปิ่นมาขอ" (เราแต่งงานกันไหม พี่จะบอกให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอ) อ้ายจูถามคำถามนี้ออกมาโดยไม่เปิดโอกาสให้แสงเดือนได้ตั้งตัว

".............." แสงเดือนอ้ำอึ้งอย่างเขินอายอีกครั้งจนทำตัวไม่ถูกโดยไม่คิดว่าอ้ายจูจะถามแบบนี้

"อ้ายบ่กลั๋วจาวบ้านเปิ่นเล่ากะ ป่อแม่ตายบ่เมิน จะมาแต่งงานกั๋น" (พี่ไม่กลัวชาวบ้านนินทากันเหรอ ว่าพ่อแม่เสียได้ไม่นาน แล้วจะมาแต่งงานกัน) แสงเดือนพูดออกมาอย่างกังวล

"อ้ายบ่กลัว ไขไค่เล่าก็ปล่อยเขาเล่าไป เฮาบ่ใจ้ยะหยังผิดเลาะ ป่อแม่เปิ่นไปสบายแล้ว ถ้าเปิ่นฮู้เปิ่นซ้ำดีใจ๋ตี่ลูกหลานเป๋นฝั่งเป๋นฝา" (พี่ไม่กลัว ใครอยากจะเล่าก็ปล่อยเขาเล่าไป พ่อแม่ไปสบายแล้ว ถ้าท่านรู้ท่านคงสบายใจที่ลูกหลานเป็นฝั่งเป็นฝา) อ้ายจูพูดตอบแสงเดือนอย่างมีหลักการ

"บึดแลงน้องจะไปท่าอยู่ตี่บ้านป่อหลวงถา เฮาไปอู้กั๋นปู้น หื้ออ้ายปาคนใหญ่ของอ้ายไปตวย" (ตอนเย็นน้องจะไปรอที่บ้านพ่อหลวงถา เราไปคุยกันที่นู้น ให้พี่พาผู้ใหญ่ของพี่ไปด้วย) แสงเดือนบอกอ้ายจู ทำให้อ้ายจูมีความหวังอย่างทันที

"ได้กะ บึดแลงอ้ายไป อ้ายจะต้มไก่สู่ป่อหลวงตวย" (ได้สิ ตอนเย็นพี่ไป พี่จะต้มไก่เลี้ยงพ่อหลวงด้วย)

สาเหตุที่หนุ่มสาวไม่คุยกันอย่างยืดยาว เพราะต่างเข้าใจในความหมายที่สื่อของกันและกันอย่างดี เนื่องจากทั้งสองชอบพอกันอย่างมานาน เพียงแต่ด้วยหน้าที่ของความเป็นลูกที่ต้องดูแลพ่อแม่ จึงไม่สามารถจะละทิ้งบุพการีเพื่อไปแสวงหาความสุขส่วนตนได้

เย็นวันนั้น ทุกคนทั้งแสงเดือน พ่อหลวงถา ป้าเสาร์ น้าคำ ป้าทองดี ศักดิ์ ส่วนเพ็ญไม่ได้มา แต่เธอก็รับรู้เรื่องราวจากการคุยโทรศัพท์กับแสงเดือนเมื่อสองสามวันก่อนแล้ว ตลอดจนอ้ายจูคนต้นเรื่องและผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบันอย่างพ่อหลวงสว่าง รวมทั้งลุงสี ป้าแขก และอุ้ยสายผู้เป็นลุง ต่างพร้อมหน้าพร้อมตา ดื่มน้ำดื่มท่า กันที่เรือนของอดีตผู้ใหญ่บ้าน

"อ้ายจู อ้ายฮักแสงเดือนแต๊กา" (อ้ายจู อ้ายรักแสงเดือนจริงเหรอ) เสียงพ่อหลวงถาถามอ้ายจูคำถามแรก

"ครับ ผมฮักแสงเดือนแต๊ครับ" (ครับ ผมรักแสงเดือนจริงครับ) อ้ายจูตอบอย่างหนักแน่นมั่นใจ

"ว่าใดแสงเดือน น้องฮักอ้ายจูก่อ" (ว่าอย่างไรแสงเดือน น้องรักอ้ายจูไหม) อดีตผู้นำชุมชนถามแสงเดือนบ้าง

"เจ้า" แสงเดือนตอบอย่างไม่ลังเลด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน

"ละอ่อน มันฮักกั๋น ป่อหลวงสว่างว่าใด" (เด็กเขารักกัน พ่อหลวงสว่างว่าอย่างไร) อดีตผู้นำหมู่บ้านถามผู้นำคนปัจจุบัน

"ถ้าเขาฮักกั๋น ก็หื้อเขาแต่งงานกันเหีย มีพิธีสู่ขอกั๋นตามประเพณีบ้านเฮานะกะ" (ถ้าเขาทั้งสองรักกันก็ให้ทั้งคู่แต่งงานกัน มีพิธีสู่ขอกันตามประเพณีบ้านเรา) พ่อหลวงสว่างตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง

สักพักพ่อหลวงถา ลุกขึ้นไปหยิบสมุดปั๊บสาที่ระบุฤกษ์ยามต่าง ๆ มาดู และนับนิ้วมือพร้อมเปรียบเทียบปฏิทินปัจจุบันและเอ่ยขึ้นว่า

"วันศุกร์ แฮม 10 ค่ำเดือน 8 ตรงกับวันที่ 18 พฤษภาเป็นวันหัวเรียงหมอน วันนี้วันที่ 11 เหลือเวลาแหม 9 วัน อ้ายจูเตรียมก๋านตันก่อ" (วันศุกร์ แรม 10 ค่ำ เดือน 8 ตรงกับวันที่ 18 พฤษภา เป็นวันฤกษ์ดี วันนี้วันที่ 11 เหลือเวลาอีก 9 วันอ้ายจูเตรียมการทันไหม)

"ตันครับ" (ทันครับ) อ้ายจูรับปาก

"งานแต่งบ่ต้องจัดใหญ่ สินสอดมีเต่าใดก็เอามาใส่หื้อเปิงกับฐานะ บอกก่าหมู่เฮาญาติปี้น้อง คนสนิทก็ปอเนาะ มีการสู่ขอ มัดมือ เลี้ยงเจ้าตี่ ทำบุญหื้อป่อแม่สูเขาเหีย กิ๋นข้าวกิ๋นเหล้าฮ่วมกั๋น จะได้บ่ต้องเสี้ยงหลาย สบายใจ๋ตึงสองฝ่ายเน้อ" (งานแต่งไม่ต้องจัดใหญ่ สินสอดมีเท่าไหร่ก็ขอให้เหมาะสมกับฐานะ บอกแต่พวกญาติสนิทมิตรสหาย มีการสู่ขอ มัดมือผูกแขน เลี้ยงเจ้าที่ ทำบุญให้พ่อแม่ทั้งสอง มีการกินข้าวกินเหล้าร่วมกัน จะได้ประหยัด ทำให้สองฝ่ายสบายใจ) พ่อหลวงถาในฐานะผู้ใหญ่ฝั่งแสงเดือนและผู้อาวุโสที่สุดกล่าวสรุป


สายลมอ่อน ๆ ในช่วงพระอาทิตย์ใกล้อัสดง หอบเอาความหอมของมวลบุปผาต่าง ๆ ทั้งดอกประดู่ ดอกแก้ว อินทนิล สะเดา ปลิวมาจากทางใต้ สอดรับบรรยากาศของงานมงคลในวันนี้ได้เป็นอย่างดี ทุกคนมีความปลื้มปิติยินดีมากโดยเฉพาะเจ้าบ่าวและเจ้าสาว

งานแต่งวันนี้เป็นพิธีที่เรียบง่าย โดยเริ่มตั้งแต่ตอนเช้าที่อ้ายจูและแสงเดือนไปตักบาตรทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้บิดามารดาของตนที่วัด

ตกเย็นใกล้เริ่มพิธี อ้ายจูออกจากห้องมาในทรงผมที่สั้น หวีด้วยเจลให้ตรง สวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้า กางเกงสแล็คขากระบอกสีน้ำตาลร้อยด้วยเข็มขัดหนังสีเดียวกันกับกางเกง ส่วนแสงเดือนมาในชุดผ้าไหมทั้งเสื้อและซิ่นสีชมพู ทรงผมเรียบร้อย แต่งหน้าทาปากแต่พองาม ประดับด้วยสร้อยทองตรงคอที่เธอทำงานเก็บเงินซื้อเอง

ในตอนทำพิธีทั้งคู่นำไก่ต้มคู่หนึ่งพร้อมกับเหล้าขาวหนึ่งขวดใส่ถาดและจุดธูปบอกกับ "ผีปู่ย่า" ซึ่งเป็นผีเจ้าที่รักษาบ้านรักษาเรือนที่มุมบ้าน

เมื่อบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในเคหะสถานเสร็จ ทุกคนมาพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว อ้ายจูซึ่งนั่งอยู่ในท่าพับเพียบจึงถือฤกษ์ยามอันเป็นมงคลนี้สวมแหวนทองคำที่มีน้ำหนัก 1 บาทให้แสงเดือนพร้อมทั้งมอบสินสอดจำนวนหนึ่งที่สมกับฐานะให้ผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาวท่ามกลางสายตาของญาติพี่น้องที่มาร่วมเป็นสักขีพยาน

จากนั้นทั้งคู่ก็ทำพิธีแต่งงานโดยที่ทั้งคู่นั่งบนเก้าอี้แล้ว มือของทั้งคู่วางบนหมอนที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ แล้วพ่ออาจารย์ก็ทำพิธีบายสู่ขวัญ เมื่อสวดจบ ก็นำฝ้ายสายสิญจน์ที่ทำเป็นบ่วงหลังเพิ่งผ่านพิธีคล้องบนศีรษะของทั้งคู่ เมื่อพิธีนี้เสร็จผู้หลักผู้ใหญ่ก็ยืนเรียงแถวเข้ามาผูกข้อมือทั้งสองติดกันและให้พรอันเป็นมงคลกับทั้งคู่ พร้อมนำซองที่บรรจุเงินใส่ในขันสลุง เมื่อผูกกันครบทุกคนแล้ว เจ้าบ่าวก็พาเจ้าสาวเข้าห้องหอ โดยบนเตียงมีที่นอนปูด้วยผ้าสีขาวพร้อมด้วยหมอนสีชมพูสองใบอย่างสะอาดตา ประดับด้วยกลีบกุหลาบสีแดงและเหรียญสตางค์หลายเหรียญ ทั้งสองจับมือกันนอนบนที่นอนนั้น หลับตาสักพักและลืมตาขึ้นประหนึ่งว่าตื่นมาแล้วร่ำรวยอยู่บนกองเงิน เมื่อเสร็จจากพิธีแล้วเจ้าบ่าวเจ้าสาวจึงเชิญแขกทุกคนกินข้าวและดื่มเหล้าสังสรรค์ร่วมกัน.

บรรยากาศงานแต่งงานในวันนี้เปรียบได้ดัง "ฟ้าหลังฝน" ที่ทั้งคู่เผชิญกับความทุกข์ความลำบากหลาย ๆ อย่าง อีกทั้งยังเพิ่งผ่านความโศกเศร้าหลังจากที่สูญเสียกับบิดามารดาผู้เป็นที่รักอยู่หลายเดือน แต่เมื่อทุกคนได้รับรู้จากการสดับรับฟังพระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สอนว่าทุกชีวิตล้วนแต่ มีการเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นธรรมดา จนเข้าใจและทำใจได้พร้อมทั้งนำไปปฏิบัติสามารถใช้ชีวิตในปัจจุบันได้ตามอัตภาพ

บนท้องฟ้าในคืนที่แสงจันทร์ที่สว่างไสวเพียงรำไรเนื่องจากอยู่ในช่วงคืนเดือนแรม แต่กระนั้นก็ยังเต็มไปด้วยหมู่ดวงดาวที่ส่องแสงระยิบระยับคล้ายกับแสงของหิ้งห้อย หลังจากที่แขกผู้หลักผู้ใหญ่ญาติสนิทมิตรสหายของคู่รักคนใหม่กลับไปหมดแล้ว ทั้งสองจึงชำระร่างกายด้วยการอาบน้ำ ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า พร้อมกับเข้านอนร่วมกันครั้งแรกฉันสามีภรรยา เมื่อทั้งคู่เอนตัวลงนอนบนฟูกอันหนานุ่ม รู้สึกได้ถึงความหอมที่มาจากกลิ่นกาย สายตาและใบหน้าของทั้งคู่แนบชิดสนิทกัน จนได้ยินเสียงลมหายใจอันแผ่วเบาอย่างชัดเจน มือทั้งสองข้างของอ้ายจูได้ยื่นมาจับกุมกับมือทั้งสองข้างของแสงเดือนรับรู้ได้ถึงความอ่อนละมุน ลูบไล้โอบกอดแผ่นหลัง โดยไม่มีการขัดขืน ฝ่ายชายเห็นว่าฝ่ายหญิงนิ่งผิดปกติเหมือนกำลังจะหลับ แต่หารู้ไม่ว่าในใจของเธอนั้นตื่นเต้นสั่นรัวจนหัวใจ เกือบจะทะลุออกมากลางอก เขาจึงบรรจงจูบที่หน้าผากเบา ๆ พลางขยับมาที่แก้มสองข้างด้วยความรักเรื่อยมาจนถึงลำคอ

เมื่อเห็นว่าสะกดความรู้สึกของฝ่ายหญิงให้หยุดนิ่งได้แล้ว จึงเอื้อมมือปิดสวิตช์ไฟจนมืดมิด ปล่อยให้ความเงียบปฏิบัติหน้าที่นำพาทั้งคู่ล่องเรือขึ้นสวรรค์ไปสู่ชั้นวิมานสีชมพูอันพึงสัมผัสได้ถึงลมพายุฝนขนาดมหึมาที่มาพร้อมกับเสียงฟ้าผ่าดังก้องกัมปนาทปานแก้วหูจะดับ หยาดน้ำจากพระพิรุณโหมสาดกระเซ็นพัดทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางกั้นล้มระเนระนาด กระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง จนพื้นพสุธาสะเทือนแตกแยกออกมาเป็นสองซีก ต้นไม้ทั้งไม้ใหญ่ไม้เล็กหักโค่นล้มลงหลายหมื่นต้น ภูเขาหลายสิบลูกเอนเอียงขยับเขยื้อนถล่มทลาย ความรุนแรงยังไม่หยุดแค่นั้น กลับกันมันยิ่งทวีทะลุลงไปลึกถึงชั้นบาดาล พัดผ่านเข้าไปยังมหาสมุทรถาโถมตีคลื่นเป็นเกลียววงกว้าง เดือดร้อนไปถึงบรรดาสัตว์น้ำในมหาชลธีที่ต้องแหวกว่ายหนีตายกันจ้าละหวั่น


"............................................................." ...เป็นเวลาสักพักใหญ่...

จากนั้นเมื่อพายุลูกใหญ่สิ้นฤทธิ์ ท้องฟ้าก็สดใส ทุกสิ่งทุกอย่างสงบลง เรือจอดสนิทนิ่งอยู่เทียบท่า ทั้งคู่จึงนอนทอดร่างแผ่หราหลับตาพริ้ม ยิ้มอ่อน ๆ จับมือกันอย่างมีความสุขของยามราตรีวิวาห์...



"กฤดาการ"

ความคิดเห็น

  1. บทอัศจรรย์มาเต็ม อ่านแล้วจี้ๆ ยุกยิกในหัวใจค่ะ

    ตอบลบ
  2. New Jersey casinos accepting COVID-19 casinos - JamBase
    NEW 보령 출장마사지 Jersey casino operators will be 서울특별 출장안마 able 오산 출장샵 to conduct 경산 출장마사지 a review of new and existing COVID-19 vaccination sites, including 구미 출장안마 New Jersey's

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เสียงก้องกังวาน ในห้วงฤทัย

"ปาฏิหาริย์ไม่มีจริง"

เส้นทางสายผ้าเหลือง