"ชีวิตแรก"

"ชีวิตแรก"
○สุริยันสาดแสงส่องบาง ๆ ในยามเช้า ในการปฏิบัติหน้าที่ ที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของพระอาทิตย์ ที่ยึดมั่น ถือมั่นอย่างเคร่งครัด เคล้ากลิ่นหยาดน้ำค้างที่ติดอยู่บนใบไม้ ยอดหญ้า ใบเล็ก ใบใหญ่ สะท้อนแสงอันมันขลับ จากสายพิรุณที่หลั่งมาจากฟ้าในค่ำคืนก่อน ทำให้อากาศเย็นสบาย หมู่ผกาต่างชูช่อ เบ่งบาน ตั้งใจหลอกล่อภมรมาผสมเกสร โบกไปมาตามแรงวายุอ่อน ๆ ในรุ่งอรุณ ทั้งดอกเข็ม ดอกลำโพง ดอกพุด ดอกมะลิ ทุกชีวิตไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล็กน้อยใหญ่อย่างพวกนกกระจิบ นกกระจาบที่กำลังส่งเสียงจิ๊บ จิ๊บ จ๊าบ จ๊าบ ขับขานราวกับท่วงทำนองเพลงลูกกรุง หรือสัตว์น้ำอย่างพวกมัจฉา กุ้ง หอย ปู แม้กระทั่งสัตว์ใหญ่ เช่น สุกร วัคคุ หรือแม้แต่ มหิงสา กระทั่งมนุษย์ล้วนต้องตื่นจากการหลับไหลในช่วงราตรีที่ผ่านมา เสียงของไก่ที่บรรจงตะเบ็งเสียงร้องขันประชัน ประหนึ่งนาฬิกาปลุก ประกาศให้โลกรู้ว่าถึงเวลาแล้วที่ทุกชีวิตจะต้องออกจากรังนอน เพื่อหุงหาอาหาร ทำกินในยามแสงแรกแห่งรุ่งอรุณ
○ "ศักดิ์จะไปโฮงเฮียนแล้วกา มา ๆ มาแวะเอาแก๋งหน่อไปกิ๋นตี่โฮงเฮียนก่อน"

เสียงตะโกนเรียกของเพ็ญซึ่งตั้งท้องแก่ เรียกเด็กชายผู้เป็นญาติลูกพี่ลูกน้องที่รักกันเปรียบเสมือนพี่น้องที่คลานตามกันมาจากท้องมารดาเดียวกัน

การเดินผ่านหน้าบ้านเพ็ญ ทำให้ศักดิ์ได้รับอาหารอันโอชะ ไว้รับประทานในมื้อกลางวัน ความเร่งรีบที่เดินผ่านหน้าบ้านเพ็ญภายใต้ชุดนักเรียนที่สมเกียรติที่สุดเท่าที่ฐานะทางบ้านจะหาได้ เป็นเสื้อเชิ้ตติดกระดุมสีเทา ๆ ที่ในอดีตนั้นมันเคยเป็นสีขาวมาก่อน แต่พอเวลาผ่านไปมันกลับกลายเป็นสีอื่นไปเสียได้ กับกางเกงขาสั้นสีกากีที่มีเรื่องเล่าประวัติศาสตร์จากร่องรอยเย็บฉีกขาดเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญตรงสะโพก ตอนที่ศักดิ์ไปเก็บผักบุ้งนาแถวชายทุ่ง เดินผ่านฝูงวัวแถวนั้น ทำให้วัวตื่น วิ่งไล่ศักดิ์จนกางเกงไปเกี่ยวกับหนามกิ่งไผ่จนขาด ผู้ใหญ่แถวบ้านที่เคยอยู่ในเหตการณ์นั้นเห็นศักดิ์ทีไรมักเยาะเย้ยเขาเรื่องนี้เสมออย่างสนุกสนาน พร้อมด้วยรองเท้าแตะที่ดูจากสภาพแล้วไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ห่อหุ้มอวัยวะที่ใช้เดินได้ เธอจึงรีบคนแกงและใช้ทัพพีตักแกงหน่อไม้ใส่ชะอมร้อน ๆ ที่ส่งกลิ่นหอม ๆ ของเครื่องแกงทั้งพริกขี้หนู กระเทียม หอมแดงและน้ำปลาร้า โพยพุ่งออกจากหม้อบนเตาบรรจุถ่านฟืนร้อน ๆ ที่ทำจากก้อนหินสามทางเรียกว่าก้อนเส้า เธอรีบจัดแจงค่อย ๆ ตักใส่ถุงพลาสติกแล้วรัดด้วยหนังยางอย่างดีนำลงใส่ปิ่นโตใบย่อมพร้อมด้วยข้าวเหนียวที่นึ่งเสร็จร้อน ๆ และปลาดุกย่างซ้อนด้วยอีกโถหนึ่งด้วยความระมัดระวัง...
"เมือใดหลานน้อยเฮาจะเกิด" ศักดิ์ถาม
"ท่าจะแหมบ่กี่วันนี่ล่ะ" เพ็ญตอบคำถามศักดิ์ ศักดิ์นั่งนิ่งสักครู่ พอได้คำตอบพร้อมทั้งแกงหน่อไม้ จากว่าที่แม่ลูกอ่อนอย่างเพ็ญที่ให้ไปเป็นกับข้าวมื้อกลางวัน ศักดิ์จึงรีบวิ่งลงจากชานเรือนไปโรงเรียนอย่างเร็วรี่... "เต้ง เต้ง เต้ง เต้ง..." เสียงระฆังดังเป็นจังหวะที่ถูกตีอย่างบรรจงโดยคุณครูศิริ ดุจดังเสียงสั่งจากสวรรค์ ยามสายัณห์ คือเสียงอันไพเราะที่สุดในรอบวัน เป็นสัญญาณเตือนว่าหมดเวลาเรียนของวันนี้แล้ว ศักดิ์เดินกลับบ้านพร้อมกับเพื่อน ๆ กลุ่มที่สนิทกัน ระหว่างทางนั้นก็พุดคุยกันไปตามเรื่องของหมู่มิตร

เมื่อทุกคนถึงบ้านสักชั่วโมงหนึ่ง ทั้งถนอม สนั่น แก้ว หล้า และศักดิ์ ตกลงจะไปจับปลากันที่หนองน้ำท้ายหมู่บ้าน ทุกคนรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า ทำธุระส่วนตัว และเตรียมข้องและสวิงให้พร้อม แล้วไปตามที่นัดหมาย บ้านของแก้วที่อยู่ติดกับวัดคือจุดรวมพล

ด้วยความที่ยังพอมีเวลาไม่รีบเร่งเหมือนกับในช่วงเช้า ศักดิ์จึงแวะที่บ้านเพ็ญ ขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปในคุ้มบ้าน ศักดิ์ต้องแปลกใจที่เห็นคนมาที่บ้านเพ็ญมากกว่าปกติ คำนวณจากสายตาคร่าว ๆ ประมาณ 7 ถึง 8 คนเห็นจะได้ ทุกคนส่งยิ้มให้ศักดิ์ มีทั้งคนเฒ่า คนแก่ ที่เรียกว่าพ่ออุ้ย แม่อุ้ย ที่สถาปนาตนเองเป็นสิงห์อมควันรุ่นใหญ่ สูบใบยาขี้โยโปรยด้วยเปลือกมะขามสุขที่ห่อหุ้มใบตองแห้งอย่างสบายใจ ผู้คนทั้งรุ่นพ่อ รุ่นแม่ และ เด็ก ๆ วัยรุ่น นั่งคุยกันอยู่หน้าบ้านอย่างสำราญในช่วงเย็นของวัน

เมื่อศักดิ์กำลังจะถอดรองเท้าขึ้นเรือนนั้น ได้ยินเสียงแว่วร้องไห้ของเด็ก ทำให้เขาคิดว่า

"นั่นเป็นเสียงของเด็กคนใด ลูกใครหรือหลานใคร หรือว่าจะเป็น..."

เขาตื่นเต้นและดีใจยากที่จะบรรยาย จึงรีบเดินเข้าไปในบ้านเพ็ญเพื่อหาที่มาของเสียงนั้นอย่างทันที...ภาพที่ปรากฏไม่ผิดจากสิ่งที่คิดไว้ ...ใช่แล้ว..เสียงที่เขาได้ยินนั้นคือ ทายาทของเพ็ญที่ได้คลอดจากท้องอุ้มมาเกือบเก้าเดือนของเพ็ญ เป็นเด็กผู้ชายตัวไม่เล็กไม่ใหญ่นัก แต่ก็พอเห็นได้ว่าแข็งแรง ผิวขาว น่าชังยิ่งนัก

เพลานั้นน้ำตาแห่งความปลื้มปิติไหลย้อยลงอาบแก้มทั้งสองข้างของศักดิ์อย่างไม่ตั้งใจ...

"หลานน้อยเฮาจื่อว่าหยัง" ศักดิ์ถามเพ็ญโดยที่ยังไม่หายตื่นเต้น

"จื่อตรี จื่อแต๊เด็กชายมนตรี" เพ็ญตอบ
"แล้วจะปิ๊กกรุงเทพเมือใด" ศักดิ์ยังชวนคุยต่อ
"รอเลี้ยงตัวน้อยสักหว่างก่อน" เพ็ญตอบ
"เฮาแอ่วหาหลานน้อยตึงวันได้ก่อ"
"ได้กะ มาจ่วยกันเลี้ยงตวยเน้อ"
ศักดิ์ไม่ถามอะไรต่ออีก ปล่อยให้เด็กชายตัวน้อย ๆ ที่เพิ่งกำลังลืมตาดูโลกเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาหลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่ในท้องของผู้เป็นแม่นานกว่า 8 เดือนได้หลับไหลพักผ่อนอยู่ในอู่นอน... ศักดิ์ยืนเพ่งมองดวงตาน้อย ๆ คู่นั้นของลูกชายเพ็ญ ที่เปื้อนด้วยรอยยิ้มและท่าทางไร้เดียงสาอันบริสุทธิ์เปรียบดังผ้าขาวที่มิเคยแต่งแต้มด้วยสีสันอันอื่นใด พรางคิดไปว่า

"เด็กน้อยเอ๋ย เจ้าจะรู้หรือไม่ว่าโลกใบนี้มีอะไรต่าง ๆ มากมายที่เจ้าจะต้องเจอทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย โตมาเจ้าจะต้องเรียนเก่ง ๆ เพื่อสู้กับความยากจน ความลำบาก สู้กับธรรมชาติและสู้กับทุก ๆ คนให้ได้"


"กฤดาการ"

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เสียงก้องกังวาน ในห้วงฤทัย

"ปาฏิหาริย์ไม่มีจริง"

เส้นทางสายผ้าเหลือง